10 หนังสงครามชั้นดี ดูสนุกที่ห้ามพลาด
10 หนังสงครามชั้นดี ดูสนุกที่ห้ามพลาด
ขึ้นชื่อว่าสงคราม ย่อมไม่เคยส่งผลดีให้กับโลก มันนำมาซึ่งความสูญเสีย ความโศกเศร้า และความขัดแย้งใหม่ๆมาให้มวลมนุษย์เสมอ…แต่ในอีกมุมหนึ่ง บางเรื่องราวของสงคราม ก็สามารถนำมาถ่ายทอดเป็นสื่อต่างๆ มอบความบันเทิงให้กับผู้รับชมได้ ทั้งวิดิโอเกมที่เล่นสนุก สารคดีที่มอบความรู้ทางประวัติศาสตร์ และภาพยนตร์ที่มอบความสนุกปนดราม่าเต็มขั้น
และนี่คือ “10 หนังสงครามชั้นดีดูสนุกที่ห้ามพลาด” เอาไว้เป็นลิสท์สำหรับเอาไว้ดูช่วงวันหยุดยาว หรือเอาไว้ทดสอบชุดโฮมเทียเตอร์ก็ดีนะครับ (ซึ่งทั้งหมดนี้ จัดตามความชอบของแอดมินล้วนๆนะครับ 55+)
—–
10. Behind Enemy Lines – แหกมฤตยูแดนข้าศึก (2001)
จัดเป็นหนังแอคชั่นมันส์ๆอีกเรื่องที่ “ภาคแรกดีที่สุด” เพราะหลังจากภาคนี้ ตัวโปรดัคชั่นของหนังก็ถูกาว์นเกรดลงมาเหลือหนังเกรด B ซะอย่างนั้น โดยภาคแรกจะหยิบเอาเหตุการณ์ที่มีเค้าโครงเรื่องจริงจากเหตุเครื่องบินลาดตระเวณของ “เรืออากาศเอก สก๊อต โอ เกรดี้” (Captain Scott O’Grady) ถูกยิงตกที่เขตสู้รบในประเทศบอสเนียในปี 1995 แล้วรอดตายมาได้
เนื้อหาจะเล่าถึง “คริส เบอร์เนตต์” (แสดงโดย โอเว่น วิลสัน) นักบินหนุ่มฝีมือห้าวเป้งได้รับภารกิจลาดตระเวณ แต่ถูกยิงจนร่วงในเขตสู้รบของประเทศบอสเนีย เขาที่รอดชีวิตจากเครื่องตก ก็ต้องหาทางหนีตายจากกองทัพคู่อริที่หมายจะเอาชีวิตเขาให้ได้
ตัวหนังขายภาพของบ้านเมืองที่ถูกถล่มด้วยสงคราม ความหวังในการเอาชีวิตรอดของพระเอก และความรับผิดชอบของผู้นำทัพได้ดีทีเดียว ยิงแหลกไล่ล่ากันมันส์ไม่น้อย
—–
9. Top Gun – ฟ้าเหนือฟ้า (1986)
ยังคงอยู่กับหนังที่พระเอกเป็นนักบิน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เจ๋งที่ฉากรบพุ่งกับเหล่าข้าศึก ภาพความโหดร้ายของสงครามแต่อย่างใด แต่ความเจ๋งของเรื่องนี้อยู่ที่นักแสดง บทรักโรแมนติค และฉากต่อสู้กลางเวหาด้วยเครื่องบินขับไล่ F14-Tomcat สุดเฟี้ยวฟ้าว (แบบเฟคๆ)
หนังเล่าเรื่องราวชีวิตของนักบินหนุ่ม “มาเวอริค” (แสดงโดย ทอม ครูซ สมัยยังหล่อใส) โดยความห้าวของมาเวอริค ก็ทำให้เขาก้าวมาเป็นนักบินมือหนึ่ง หลังจากได้พบกับเครื่อง MIG สองลำกำลังเหาะอยู่เหนืออ่าวเปอร์เซีย แต่ก็เอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แถมโดนผบ.ด่ากลับมาด้วย ฐานละเลยคำสั่งออกปฏิบัติการโดยไม่ได้รับอนุญาต
ทำให้มาเวอริคต้องโดนเด้งไดเรียนปรับทัศนคติที่โรงเรียน Top Gun Naval Flying School เพื่อให้สมกับตำแหน่งนักบินชั้นยอดจริงๆซักที (เพราะห้าวจนโดนปลดจากตำแหน่งผู้นำฝูงบินมาสามหนแล้ว) และที่นั่นเขาก็ได้พบกับ “ชาร์ล๊อต “ชาร์ลี” แบล๊ควู้ด” (แสดงโดย เคลลี่ แมคกิลิส ดาราสาวสวยของยุคนั้น)ครูฝึกพลเรือนจนความรักก่อตัวขึ้นตามประสาพ่อแง่แม่งอน
เพราะองค์ประกอบในหนังเรื่องนี้ หลายๆอย่างมัน “เท่ห์มาก” ภาพเครื่องบินบนท้องฟ้าก็ภาพจริงๆ (ผสม CG กากๆนิดหน่อย บวกกับฉากดวลแบบเฟคๆหลอกๆ 555+) หนังขายงานภาพสวยเพลงเพราะระดับตำนาน ทั้งDanger Zone / Take My Breath Away และอีกหลายๆเพลง
ทำให้แอดมินรู้สึกว่ามันเหมือน “หนังโฆษณาชวนเชื่อให้เข้ากองทัพอากาศ” ได้ดีเลย เชื่อว่ายุคนั้นใครๆก็อยากเป็น “นักบินท๊อปกัน” สวมแจ๊คเกตหนัง ใส่แว่นเรแบน ตัดผมสั้นทรงอเมริกันลานบิน ถ้าไปถามใครๆว่าถ้าพูดถึงหนังที่เกี่ยวกับเครื่องบินรบ เกินครึ่งต้องตอบว่าเรื่อง ” Top Gun – ฟ้าเหนือฟ้า” แน่นอน
—–
หนังได้ดาราแม่เหล็กอย่าง “จอร์ช คลูนี่ย์” มาแสดงนำ ร่วมกับแร๊ปเปอร์ผิวสี “ไอซ์ คูบ” และดาราหนุ่มหน้าใหม่อย่าง “มาร์ค วอห์ลเบิร์ก” ด้วยมุกจิกกัดนโยบายสงครามอิรัก ก็ทำให้หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยสีสัน ออกแนวผจญภัย ปล้นทรัพย์ มากกว่า
เรื่องราวของหนังจะเล่าถึงช่วงเดือนมีนาคม ปี 1991 ณ ทะเลทรายในประเทศอิรัก “ร้อยเอก อาร์ชี่ย์ เกตส์” (แสดงโดย จอร์จ คลูนี่ย์) แห่งกองกำลังพิเศษกรีน แบเร่ต์ , สิบเอกทรอย แบร์โลว์ (แสดงโดย มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) แห่งกองทัพบกสหรัฐอเมริกา, จ่าสิบตรี เอลกิ้น (แสดงโดย ไอซ์ คูบ) ใช้เวลาหลายสัปดาห์ ในฐานทัพให้หมดไปวันๆ เพราะสงครามอ่าวเปอร์เซีย ที่ไม่ได้ให้คนมารบพุ่งกันแบบในอดีต แต่เป็นสงครามสมัยใหม่ ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธสงครามไฮเทคทั้งสิ้น ทำให้เหล่าทหารรู้สึกเบื่อหน่าย เคว้งคว้าง ไร้จุดหมายในชีวิต และรอวันกลับบ้านอย่างใจจดจ่อ…
โชคชะตาพารวย เมื่อนายทหารทั้งสาม ก็บังเอิญไปได้ “ที่ซ่อนขุมทรัพย์ของ ซัดดัม ฮุสเซน” ที่ได้มาจากกองทัพอิรักปล้นสดมภ์มาจากชาวคูเวต เมื่อทองกองตรงหน้ามีหรือจะไม่เอา ทำให้ทั้งสามติดอาวุธ และกระโจนไปล่าขุมทรัพย์ก่อนกลับบ้าน ตามแผนการ “ออกแต่รุ่งสาง และกลับมาทันกินมื้อกลางวัน”
แต่เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะภารกิจนี้ ทำให้เขาได้เข้าสู่แดนข้าศึก การปะทะกันตรงๆเสี่ยงตาย และจริยธรรมของการสงคราม ที่จะเปลี่ยนแนวคิดไปตลอดกาล ทำให้ตัวหนังพลิกแง่จากคนหัวหมอหวังรวยก่อนสงครามจบ กลายเป็นหนังดราม่า+มุกตลกสไตล์อเมริกัน และบทสรุปเรื่องราวที่ชวนให้คิดตาม
—–
จัดเป็นหนังในตำนานอีกเรื่อง ที่ทำให้เหล่าดาราที่แสดงในเรื่องเกือบทั้งหมด ทั้ง ชาร์ลี ชีน / จอห์นนี เดปป์ / วิลเลม ดาโฟ / ทอม เบอเรนเจอร์ /ฟอเรสต์ วิตเทกเกอร์ ยันผู้กำกับอบ่าง โอลิเวอร์ สโตน ก็พากันแจ้งเกิดเต็มตัวในฮอลลีวูด
หนังเล่าเรื่องของสงครามเวียดนามโดยโฟกัสไปที่ทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่ได้เข้าไปปฏิบัติภารกิจในสงครามเวียดนามแบบไร้จุดหมาย หลังมาถึงเวียดนามได้ไม่นาน “คริส เทย์เลอร์” (แสดงโดย ชาร์ลี ชีน) ทหารหนุ่มอเมริกันผู้ใสซื่อแบบลูกทุ่ง ก็ได้พบกับความจริงว่า นอกจากพวกเวียดกงที่ต้องรับมือด้วยแล้ว ยังต้องต่อสู้กับพวกเดียวกันเองที่มีแต่ความหวาดกลัวที่ค่อยๆกัดกินหัวใจ ความเหนื่อยล้าสาหัส และอารมณ์เกรี้ยวกราดที่พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ
ภารกิจในเรื่อง เต็มไปด้วยภาพความโหดร้ายที่อเมริกันมอบให้เวียดกง ทุกอย่างถูกทำออกมาได้สมจริง ป่าเถื่อน ทั้งเสียงปืน กองไฟ ซากศพของเหล่าทหาร เป้นหนังที่ดูแล้วให้คำถามกับตัวเองเยอะพอสมควร ถ้าดูเอาบันเทิงก็อาจจะน้อยไปนิด แต่ถ้าดูเอาข้อคิด เอาภาพความโหดของสงครามเวียดนามในยุค 70 ละก็โอเค เพราะเรื่องนี้ถือเป็น “ภาพยนตร์แม่แบบของหนังสงครามเวียดนาม” หลายๆเรื่องที่ออกมาหลังจากเรื่องนี้ด้วย
—–
6. Letters From Iwo Jima – จดหมายจากอิโวจิมา ยุทธภูมิสู้แค่ตาย (2006)
หนังที่สร้างจากเรื่องจริง โดยฝีมือของผู้กำกับคนจริงอย่าง “คลินท์ อีสท์วู้ด” อดีตดาราหนังคาวบอยรุ่นคุณปู่ ที่หยิบเอาภาพของสงครามโลกครั้งที่สอง ในมุมมองของ “ผู้ที่กำลังจะแพ้สงคราม” มาถ่ายทอดได้ถึงอกถึงใจ
หนังเล่าเล่าเรื่อง 2 ช่วงเวลา ได้แก่ การขุดสำรวจถ้ำที่อยู่ในเกาะอิโวจิม่าของนักโบราณคดีญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง กับ ช่วงภาพในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ผ่านมุมมองของ “ไซโก” นายทหารหนุ่มที่เคยเป็นช่างทำขนมปังที่ถูกเกณฑ์มารบ แน่นอนว่าที่นี่ไม่ต่างกับกองทัพที่อดอยาก เพราะยุทโธปกรณ์ที่ผุพัง ดัดแปลงจนผิดวัตถุประสงค์ใช้งานหลายอย่าง ทั้งรถถังพังๆ ที่ตั้งเป็นป้อมปืนแทน
ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1945 อเมริกันเริ่มบุกหนักหมายเผด็จศึกกองทัพจักรพรรดิ์ญี่ปุ่น การปะทะกันอย่างดุเดือดจึงเปิดฉากขึ้น แต่แล้วสงครามจบลงด้วยความปราชัยของญี่ปุ่น บางส่วนถูกจับเป็นเชลยศึก ส่วนไซโกรอดตายมาได้เพราะ ถูกนายพลคุริบายาชิ สั่งให้ไปใช้ให้ทำลายเอกสาร แต่สุดท้าย ไซโกกลับนำเอกสารและจดหมายที่เพื่อนทหารทุกคนเขียนไว้ให้ครอบครัว ไปฝังที่พื้นในอุโมงค์บนเกาะนี้ และสุดท้ายจดหมายที่ไซโกฝังเอาไว้ก็ถูกขุดค้นพบในปี 2005 นั่นเอง
เป็นหนังที่บีบคั้นอารมณ์คนดูอย่างสุดพลังอีกเรื่องที่แนะนำ ทั้งภาพความโหดของสงคราม ความสิ้นหวัง ตัดสลับกับความสวยงามของงานภาพ (ถ้าดูพวก 1080p นี่ประทับใจเลย ภาพ สี แสง สวยมาก)
—–
5.Pearl Harbor – เพิร์ล ฮาร์เบอร์ (2001)
ยังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง …หากจะหาผกก.ซักคนที่ทำ “หนังอวยอเมริกันได้สุดลิ่มทิ่มประตู”ซักเรื่อง ชื่อของ “ไมเคิล เบย์” จะต้องติดอันดับต้นๆอย่างแน่นอน เพราะการทำหนังที่เน้นระเบิดเป็นตันๆ ยิงแหลกบ้าพลัง ถล่มทลายวอดวายสะใจผู้ชม บวกกับบทพูดเห่ยๆปลุกใจอเมริกัน ก็ทำให้หนังหลายๆเรื่องพี่แก มักจะได้รับการสนับสนุนพร๊อพเข้าฉากโดยกองทัพสหรัฐซะทุกครั้งไป
และเรื่อง “เพิร์ล ฮาร์เบอร์” ก็เช่นกัน หนังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่จะพาไปยังยุคที่อเมริกันยังไม่ได้คิดจะเข้าร่วมสงคราม แต่เมื่อมีการบุกถล่มของญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกันที่ถูกต่างชาติโจมตีในดินแดนของตน ซึ่งก็เกิดจากเทคโนโลยี และการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนนั่นเอง
ในสมัยที่เข้าฉายครั้งแรกๆ ถูกเสียงวิจารณ์ก่นด่าออกไปในทิศทางของความน่าเบื่อยืดยาดของหนัง (หนัง 3 ชั่วโมงนะคุณ!!) ที่พยายามจะยกประเด็นรักๆใคร่ๆมาใส่ในสงครามที่ดูเฝือๆล้นๆไปหน่อย แต่เมื่อมาดูจริงๆแบบไม่รีบร้อน นอนเล่นอยู่บ้าน แล้วเปิดดู มันก็เป็นหนังสายขายความบันเทิงที่เข้าใจง่าย ดูเอามันส์โคตรๆ แถมสเกลทำลายล้างของเรื่อง ก็ถือว่าทำออกมาได้บ้าพลังสุดๆในยุคนั้นแล้ว
อย่างที่แอดมินบอก “หนังของไมเคิล เบย์ ส่วนใหญ่ทำมาถูกใจกองทัพ มากกว่านักวิจารณ์!”
—–
ยังอยู่กับสงครามโลกครั้งที่สองกันต่อ โดยสงครามครั้งนั้น อเมริกันเองก็ยังคงแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ สีผิวกันอย่างมาก (สังเกตุว่าในหนังสงคราม หรือสื่อต่างๆมักจะไม่ค่อยเห้นทหารผิวสี หรือทหารชาติอื่นที่ถือสัญชาติอเมริกันเลย) และหนังเรื่องี้ก็ได้สะท้อนภาพของปัญหา และการอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายญี่ปุ่นสามารถเจาะเข้ารหัสลับของกองทัพอเมริกันได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้อเมริกันเริ่มคิดที่จะใช้ภาษาถิ่นของอินเดียนแดง หรือ ภาษานาวาโฮ (Navajo) ทำให้ทหารอเมริกันเชื้อสายอินเดียนแดงถูกเกณฑ์ในรหัส “Code Talkers” ทุกอย่างในรหัสนี้จะไม่มีการจดบันทึก จึงเป็นเพียงรหัสเดียว ที่ทหารญี่ปุ่นไม่สามารถเจาะผ่านได้
ในสงครามบุกถล่มเกาะไซปัน นาวิกโยธิน “โจ เอนเดอส์” (แสดงโดย นิโคลัส เคจ) และ “อ็อกซ์ แอนเดอร์สัน” (แสดงโดย คริสเตียน สเลเตอร์) ถูกกำหนดให้เป็นผู้ปกป้องเจ้าหน้าที่รหัส “เบน ยาซี” (แสดงโดย อดัม บีช) และ “ชาร์ลี ไวท์ฮอร์ส” (แสดงโดย โรเจอร์ วิลลี่) ทั้งคู่ได้รับคำสั่งและต้องกลายเป็นเพื่อนกันอย่างไม่เต็มใจ
ตัวหนังเล่าเรื่องได้โอเคมาก ฉากสงครามทำมาสนุกตื่นเต้น ไว้เทสท์โฮมเธียเตอร์ได้ดีอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ว่าแต่พักนี้ไม่ค่อยเห็น “นิโคลัส เคจ” เล่นหนังเลยแฮะ…
—–
3. Saving Private Ryan – ฝ่าสมรภูมินรก (1998)
หากจะพูดถึงหนังสงครามโลกที่ทุกคนต้องเคยดูอย่างน้อย 1 รอบในชีวิต คงต้องมีชื่อของหนังเรื่องนี้ และหน้าของ “ทอม แฮงค์” ลอยมาเลย…
เรื่องราวจะเล่าถึงช่วงหลังการบุกหาดโอมาฮ่าเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 แล้ว กองทัพอเมริกันประสบความสูญเสียเป็นอย่างมาก “ผู้กอง จอห์น มิลเลอร์” (แสดงโดย ทอม แฮงค์)ได้รับภารกิจตามหา “พลทหารไรอัน” ลูกชายของครอบครัวไรอันที่ได้ส่งลูกชายทั้งสามไปรบ แล้วตายไปสองคน ผู้กองมิลเลอร์จึงต้องออกทำภารกิจตามหาพลทหารไรอันกลับบ้านให้ได้ แม้ว่าจะต้องเอาชีวิตของลูกทีมไปเสี่ยงก็ตาม พร้อมๆกับคำถามในใจว่า มันคุ้มหรือไม่ ที่จะพาคนนับสิบ เสี่ยงชีวิตเพื่อคนๆเดียว…ซึ่งในท้ายที่สุด หลายคนได้เสียชีวิตรวมทั้งผู้กองมิลเลอร์ด้วย แต่ก่อนตายเขาได้บอกแก่ไรอันว่า “ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า” ซึ่งไรอันได้จดจำและสำนึกในบุญคุณของมิลเลอร์ไปตลอด
ด้วยบทดราม่าเข้มข้น งานพร๊อพต่างๆทำมาได้สุดยอด จนคว้ารางวัลออสการ์มาได้หลายรางวัล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฉากเปิดเรื่องที่ยาวกว่า 10 นาที ที่ถ่ายทอดเรื่องราวการบุกหาดโอมาฮ่า ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสมรภูมิที่สูญเสียที่สุดของกองทัพสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับคำวิจารณ์ว่าทำได้เสมือนจริงอย่างมาก…
อ่อ เรื่องนี้ “วิน ดีเซล” เล่นด้วยนะ..โดยเฮียแกรับบทเป็นพลทหาร “เอ็ดเวิร์ด คาปาร์โซ่” พลทหารประจำกองเชื้อสายอิตาเลียน แต่ถูกยิงด้วยสไนเปอร์ จากการช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละ
—–
2. Black Hawk Down – ยุทธการฝ่ารหัสทมิฬ (2001)
ด้วยฝีมือของผกก.อย่าง“ริดลีย์ สก๊อต” และเพลงประกอบโดย “ฮานส์ ซิมเมอร์” ทำให้ทุกนาทีของหนังเต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อน เพลงประกอบอลังการ งานภาพการลำดับเรื่องที่ฉับไว มีสไตล์ จนกลายเป็นอีกหนึ่งแม่แบบของหนังสงครามยุค Modern Warfare หรือสงครามสมัยใหม่อีกเรื่องเลยก็ว่าได้
หนังมีรายละเอียดที่เยอะพอสมควร แต่สามารถเล่าสั้นๆได้ใจความได้ว่า สหรัฐได้ส่งกองกำลังพิเศษเข้าไปในโซมาเลีย โดยหลักแล้วการมาของพวกอเมริกัน คือต้องการตัว “โมฮาเมด ฟาร์ราห์ ไอดิด” ผู้นำชนกลุ่มน้อย “ฮับร์ กิดร์” และการปฏิบัตการณ์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้วยการลำเลียงอาหาร รวมไปถึงความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่กำลังอดอยากโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ Black Hawk
นายพลวิลเลี่ยม เอฟ แกร์ริสัน ได้รับภารกิจในการจับกุมตัวเหล่าทหารมือเอกของ ฟาร์ราห์ ไอดิด เพื่อลดอำนาจลง โดยมีเป้าหมายคือ “ย่านดาวน์ทาวน์ของโมกาดีชู” ในภารกิจนี้ มีทหารอเมริกัน 75 นายที่แบ่งออกเป็นสี่หน่วย จะโรยตัวจากเฮลิคอปเตอร์แบล๊กฮอว์กสี่ลำ คุ้มกันพวกที่เข้าไปในตัวอาคาร แล้วชิงตัวกลับบ้านแบบชิวๆ ฟังดูก็ไม่น่ามีอะไรมากนักกับแผนการดังกล่าว
แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเครื่องแบล๊กฮอว์ก โค้ดเนม “ซูเปอร์ซิกซ์วัน” และ “ซูเปอร์ซิกซ์โฟร์” ถูกยิงตก! ทุกอย่างพังพินาศ แผนการต้องเปลี่ยนจากชิงตัวอริ มาเป้นชิงคนของตัวเองกลับบ้าน ท่ามกลางวงล้อมของชาวโซมาเลียผู้บ้าคลั่งราวกับฝูงซอมบี้ที่ติดอาวุธครบมือ พร้อมจะรุมประชาทัณฑ์ทหารอเมริกัน การต่อสู้ทวีความรุนแรงตลอดทั้งค่ำคืน จนถึงรุ่งเช้าเป็นผลให้ชาวอเมริกันเสียชีวิต 18 คน บาดเจ็บ 73 คน
และหนังเรื่องนี้ ก็เป็นหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริง (ตัวละครสมมติบางส่วน) ฉากยิงกันช่วงกลางเรื่องคือความบันเทิงสุดพลังมาก ส่วนช่วงท้ายออกแนววางแผน การเอาตัวรอด และการเดินทางอันยาวนานเพื่อที่จะพาตัวเองไปยังเขตของ UN ใครที่พลาดเรื่องนี้ ถือว่าน่าเสียดาย เพราะเล่าเรื่องสนุก ครบรสมากๆ!!
————————
1.Hacksaw Ridges – วีรบุรุษสมรภูมิปาฏิหาริย์ (2016)
ถึงจะเป็นหนังใหม่ แต่เป็นหนังที่ให้มุมมองของสงครามที่ต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ในเมื่อพระเอกของเรื่องเลือกที่จะ “ไม่ฆ่าใครเลย” แถมยังเลือกที่จะช่วยทั้งมิตร และศัตรูด้วย เป็นแนวคิดหนังที่แปลกมาก แถมมารู้ทีหลังว่า ตัวพระเอกในเรื่อง เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในหน้าประวัติศาสตร์ด้วย!!
หนังเล่าเรื่องราวของ เดสมอนด์ ที. ดอสส์ (แสดงโดย แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) ชายสติไม่ค่อยเต็ม ที่อาสารับใช้ชาติตามแนวทางของตัวเอง โดยเขาเลือกที่จะไม่ติดอาวุธฆ่าใคร และตั้งใจจะเป้นแพทย์สนามที่ดีให้ได้ เขาต้องขัดแย้งกับเหล่าครูฝึก ผู้บังคับบัญชา เพราะความรั้น และดื้อที่ไม่ยอมจับปืนในค่ายฝึก
ในที่สุดเขาก็ถูกส่งตัวไปที่เกาะโอกินาว่า ในสมรภูมิ Hacksaw Ridge เขาเข้ารบโดยไม่มีปืนติดตัวแม้แต่กระบอกเดียว และที่นั่นหลังจากการถอยทัพของเหล่าทหารอเมริกัน เดสมอนด์ก็ได้พยายามช่วยเพื่อนทหารจากวงล้อมของทหารญี่ปุ่น ด้วยการส่งร่างเพื่อนๆลงจากหน้าผาสูงด้วยไหวพริบอันชาญฉลาด ทั้งมิตรและศัตรูต่างถูกช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น 75 ราย (แต่จากปากคำของพยานเพื่อนร่วมรบ ได้ระบุว่า “ตามจริง”แล้วเขาช่วยได้มากถึงร้อยกว่าคน
เดสมอนด์ได้รับเหรียญกล้าหาญจาก ประธานาธิบดีทรูแมน หลังสงครามสิ้นสุด และจากไปอย่างสงบในปี 2008 ด้วยโรคชรา
ผลงานของเมล กิ๊บสัน ที่มาทำหน้าที่กำกับหนัง ยังคงความเป็นสไตล์น้าแกเหมือนเดิม ก็คือฉากละเลงเลือด ซากศพ ตับไตไส้พุงกองมาเต็มพื้น ฉากยิงที่รู้สึกว่ามันเรียล และกดดันมากๆ บวกกับบทบาทของ “แอนดรูว์ การ์ฟิลด์” ที่สลัดภาพของสไปเดอร์แมนออกมาเป็นชายหนุ่มโลกสวย ก็ทำออกมาได้ดีเกินความคาดหมาย ใครพลาดเรื่องนี้นี่เสียดายแทนเลย หนังดี สมควรหามาดูจริงๆครับ
———-
จริงๆยังมีหลายเรื่องที่อยากแนะนำ ทั้ง Lone Survivor / 13 Hours : Secret of Bengazi / The Patriots / We Were Soldier / The Longest Day / Yamato / Tora Tora Tora! บลาๆๆๆ แต่ด้วยเนื้อที่อันจำกัด จึงขอหยิบเอาหนังที่แอดมินชอบ และเปิดดูบ่อยๆมาแนะนำกัน ผิดพลาดตรงไหน ก็มาพูดคุยกันได้ที่หน้าเพจ และในคอมเม้นท์ใต้บทความได้นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น